วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศอิยิปต์

หุบผากษัตริย์และหุบผาราชินี 
Biban el-Melouk and Biban el-Harem 
(Valley of the Kings and Valley of the Queens)




                          หุบผากษัตริย์ (Valley of the King) ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตก ของแม่น้ำไนล์ โดยหุบเขานี้เป็นสุสานของฟาร์โรห์ตั้งแต่ สมัย Tuhtmose หลบซ่อนอยู่ในเทือกเขา Theban มีทั้งบรรพกษัตริย์ เหล่าราชวงศ์และขุนนางทั้งหลาย ถือเป็นโบราณสถานที่ สำคัญแห่งหนึ่งของอียิปต์ที่มีการ ขุดค้นทางโบราณคดีเกือบศตวรรษ ปัจจุบัน สุสานนี้มี อายุกว่า 3,000 ปี การตกแต่งภายใน วิหารเต็มไปด้วยภาพจิตรกรรมที่งดงาม และสีของภาพยังคงดูสดใส มีชีวิตชีวาอยู่ ณ ปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีสุสานของฟาโรห์ตุตันคาแมน ซึ่งสมบัติ ทั้งหมดที่ค้นพบ ถูกแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ไคโร และสุสานของ พระนางฮัตเซบสุด ฟาร์โรห์หญิงองค์เดียวของอียิปต์ หรือราชินีหนวด อนุสรณ์แห่งนี้สร้างขนาน ไปกับเทือกเขา และระหว่าง ทางก็จะมีรูปสลักหินลอยตัวขนาดใหญ่ของพระเจ้าอเมนโนฟิสที่ 3 ซึ่งได้ ตำนานเล่าเรื่องประหลาดของรูปสลักหินนี้ไปไกล ถึงกรีซ
                         หุบผาราชินีอยู่ใกล้ ๆ กับหุบผากษัตริย์ ถ้ายืนริมฝั่งแม่น้ำไนล์แล้วหันหน้าไปทางทิศตะวันตกสู่ทิวเขาธีบัน ตรงกับหุบผากษัตริย์ หุบผาราชินีก็อยู่ทางซ้ายมือหรือทางเหนือห่างราว 1.50 กม. เท่านั้นเอง หุบผา   พระราชินี (Valley of The Queen) มีชื่อเป็นภาษาไอยคุปต์ว่า ไบบาน เอล ฮาริม (Biban El Harim) เป็นที่ซ่อนของสุสานมากมายราว 80 สุสาน มีอายุราว 1,300 - 1,100 ปีก่อน ค.ศ. นั่นคือ อยู่ในสมัยราชวงศ์ที่ 19 และ 20 ตามประวัติก็กล่าวว่าในชั้นแรกมีแต่เพียงการสร้างที่บูชาดวงวิญญาณขึ้นใช้เป็นที่สวดมนต์อุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตาย การที่ไม่ทำพิธีที่หน้าสุสานในหุบผากษัตริย์ก็เพราะกลัวจะมีผู้ล่วงรู้ว่าสุสานอยู่ ณ ที่ใดนั่นเองครับ คงนึกว่าขโมยนั้นโง่เสียเต็มประดา คงจะไม่รู้ถ้าย้ายมาทำพิธีที่สุสานจำลอง ณ ที่หุบผานี้


กลุ่มอนุสาวรีย์แห่งนูเบีย


กลุ่มอนุสาวรีย์แห่งนูเบียตั้งแต่อาบู ซิมเบลจนถึงฟีลาเอ คือกลุ่มสิ่งก่อสร้างอียิปต์โบราณที่ตั้งบริเวณตอนใต้ของประเทศอียิปต์ ริมแม่น้ำไนล์ ในช่วงปี พ.ศ. 2500 ได้เกิดปัญหาขึ้นที่ว่ารัฐบาลอียิปต์มีแผนที่จะสร้างเขื่อนอัสวานขึ้น เพื่อป้องกันน้ำท่วมที่ราบลุ่มแม่น้ำไนล์ในช่วงฤดูน้ำหลากของทุกปี ซึ่งถ้าเขื่อนสร้างแล้วเสร็จ สิ่งก่อสร้างต่างๆในบริเวณนี้จะต้องจมลงไปกับน้ำและด้วยเหตุนี้ องค์การยูเนสโกจึงได้เริ่มการระดมทุนเพื่อช่วยกอบกู้สิ่งก่อสร้างทั้งหลายนี้ขึ้น ผลตามมาก็คือ ได้มีประเทศต่างๆกว่า 60 ประเทศได้บริจาคทั้งเงินและความช่วยเหลือ อนุรักษ์และศึกษา ซึ่งต่อมาทั่วโลกได้ตระหนักว่าควรจะมีองค์กรพิเศษเพื่อรักษาและอนุรักษ์สถานที่ ทั้งสิ่งก่อสร้างและธรรมชาติขึ้น จนเมื่อถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) ในการประชุมใหญ่องค์การยูเนสโกครั้งที่ 17 ณ สำนักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จึงได้มีการลงนามสนธิสัญญาว่าด้วยการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ซึ่งในอีก 3 ปีต่อมาประเทศกว่า 20 ประเทศได้ลงปฏิญาณร่วมกันและเมื่อปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) กลุ่มอนุสาวรีย์แห่งนูเบียนี้ก็ได้รับการลงทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น